ในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การควบคุมค่าใช้จ่ายในบ้านโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ เครื่องปรับอากาศถือเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานมากที่สุดในบ้าน คิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของค่าไฟฟ้าทั้งหมด การเรียนรู้วิธี เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดค่าใช้จ่าย โดยการตั้งค่าที่เหมาะสมสามารถช่วยประหยัดค่าไฟได้มากถึง 30% หรือคิดเป็นเงินหลายพันบาทต่อปี ทั้งนี้ การใช้งานแอร์อย่างชาญฉลาดไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าเท่านั้น แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพักอาศัย ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงเทคนิคการใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำวิธีการตั้งค่าต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้อย่างเป็นรูปธรรม
เทคนิคการใช้แอร์ให้ประหยัดไฟ
การใช้งานเครื่องปรับอากาศให้ประหยัดไฟไม่ใช่เรื่องยาก เพียงรู้จักเทคนิคและวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง เพราะพฤติกรรมการใช้งานมีผลโดยตรงต่อการประหยัดค่าไฟฟ้าการเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสม การตั้งอุณหภูมิที่พอดี และการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียสละความสบายในการใช้งาน มาดูกันว่า 10 เทคนิคการใช้แอร์อย่างชาญฉลาด ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้สูงสุดถึง 30% พร้อมยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศให้ยาวนานขึ้น
1. ใช้ฟังก์ชัน Sleep Mode และ Timer สำหรับการนอน
เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟ : ฟังก์ชัน Sleep Mode เป็นตัวช่วยประหยัดไฟที่ดีสำหรับการนอนในเวลากลางคืน โดยจะค่อยๆ ปรับเพิ่มอุณหภูมิขึ้น 0.5-1 องศาทุกชั่วโมง สอดคล้องกับการนอนของเราที่ต้องการความเย็นน้อยลงในช่วงดึก แอร์รุ่นใหม่จะมาพร้อมระบบ AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมการนอนและปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ แนะนำให้ตั้ง Timer ปิดเครื่องหลังจากนอนไปแล้ว 4-6 ชั่วโมง หรือตั้งเวลาปิดตอนตี 3-4 เพราะอากาศจะเย็นลงตามธรรมชาติ ทั้งนี้ผู้ใช้ควรทดลองปรับการตั้งค่าให้เหมาะกับพฤติกรรมการนอนของตนเอง เช่น หากนอนเร็วอาจตั้งเวลาปิดเร็วขึ้น หรือถ้าเป็นคนขี้ร้อนอาจปรับให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นช้ากว่าปกติ การใช้ฟังก์ชันนี้อย่างเหมาะสมจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ 5-10% ต่อคืน และยังช่วยให้หลับสบายตลอดคืนอีกด้วย
2. ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ
แผ่นกรองอากาศที่สกปรกทำให้แอร์กินไฟมากขึ้น 15-20% และยังส่งผลต่อคุณภาพอากาศในห้อง เพราะเป็นแหล่งสะสมของฝุ่น เชื้อรา และแบคทีเรีย คุณสามารถทำความสะอาดเองได้ง่ายๆ ทุก 2 สัปดาห์ โดยเริ่มจากการปิดเครื่องและถอดแผ่นกรองออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ ไม่ควรใช้น้ำร้อนหรือน้ำเย็นจัดเพราะอาจทำให้แผ่นกรองเสียหาย ใช้แปรงขนนุ่มขัดเบาๆ เพื่อกำจัดฝุ่นและคราบสกปรก หากมีคราบติดแน่นสามารถใช้น้ำผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อยช่วยทำความสะอาด ล้างออกด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด แล้วผึ่งในที่ร่มให้แห้งสนิทก่อนใส่กลับ ไม่ควรตากแดดเพราะจะทำให้แผ่นกรองเสื่อมเร็ว การดูแลแผ่นกรองอย่างสม่ำเสมอนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 5-15% ต่อเดือนแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศและรักษาคุณภาพอากาศในห้องให้ดีอีกด้วย
3. ติดตั้งผ้าม่านและฟิล์มกันความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันความร้อนจากภายนอกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี การติดตั้งม่านกันแสง UV หรือฟิล์มกันความร้อนคุณภาพดีสามารถลดความร้อนที่เข้าสู่ห้องได้ถึง 50-70% สำหรับการเลือกม่าน แนะนำให้เลือกแบบเนื้อหนาสองชั้น โดยชั้นในควรเป็นผ้าโปร่งสีอ่อนเพื่อให้แสงธรรมชาติส่องผ่านได้บ้าง ส่วนชั้นนอกควรเป็นผ้าทึบแสงสีเข้มเพื่อป้องกันความร้อน ในกรณีที่เลือกติดฟิล์มกันความร้อน ควรเลือกรุ่นที่มีค่า TSER (Total Solar Energy Rejection) สูงกว่า 50% และควรเลือกช่างที่มีความชำนาญในการติดตั้งเพื่อป้องกันปัญหาฟองอากาศหรือฟิล์มหลุดร่อนในภายหลัง การลงทุนในอุปกรณ์เหล่านี้แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงในตอนแรก แต่จะคุ้มค่าในระยะยาวเพราะสามารถลดค่าไฟได้ 10-20% ต่อเดือน อีกทั้งยังช่วยถนอมเฟอร์นิเจอร์และวัสดุภายในห้องไม่ให้เสื่อมสภาพเร็วจากรังสี UV อีกด้วย
4. เลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์ และคอมเพรสเซอร์ให้เหมาะสม
การเลือกตำแหน่งติดตั้งเครื่องปรับอากาศและชุดคอมเพรสเซอร์มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพการทำงานและการประหยัดพลังงาน สำหรับตัวแอร์ภายในบ้าน ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งในทิศตะวันตกที่โดนแสงแดดจัดในช่วงบ่าย เพราะความร้อนสะสมจะทำให้แอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้น ในส่วนของชุดคอมเพรสเซอร์ภายนอก ควรติดตั้งในที่ร่มที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงการวางบนพื้นปูนร้อน ดาดฟ้า หรือมุมอับที่อากาศไม่ถ่ายเท แนะนำให้ยกชุดคอมเพรสเซอร์สูงจากพื้นประมาณ 15-30 เซนติเมตร และเว้นระยะห่างจากผนังอย่างน้อย 30 เซนติเมตร เพื่อให้อากาศไหลเวียนได้ดี สำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด อาจพิจารณาติดตั้งหลังคากันแดดเฉพาะจุดให้กับชุดคอมเพรสเซอร์ การจัดวางตำแหน่งที่เหมาะสมนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 10-15% และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศอีกด้วย
5. ตรวจสอบซ่อมแซมช่องว่าง หรือรอยแยกในห้อง
ช่องว่างหรือรอยแยกในห้องเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น เพราะความเย็นจะรั่วไหลออกและความร้อนจะแทรกซึมเข้ามา ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักตลอดเวลา ควรสำรวจบริเวณขอบประตู หน้าต่าง ช่องแอร์ และรอยต่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ธูปหรือกระดาษทิชชูบางๆ สังเกตการเคลื่อนไหวของควันหรือกระดาษตามจุดต่างๆ เมื่อพบช่องว่างหรือรอยแยก ให้รีบซ่อมแซมด้วยวัสดุที่เหมาะสม เช่น ยางซิลิโคน แถบยางกันรั่ว หรือวัสดุอุดรอยต่อโดยเฉพาะ การปิดช่องว่างที่ทำให้ความเย็นรั่วไหลอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 10-15% แต่ยังช่วยป้องกันความชื้นและเชื้อราที่อาจเกิดขึ้นตามรอยแยกอีกด้วย
6. การเลือกขนาดของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับพื้นที่
การเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นปัจจัยสำคัญในการประหยัดพลังงาน โดยทั่วไปพื้นที่ 1 ตารางเมตรต้องการความเย็นประมาณ 800-1,000 BTU แต่สำหรับห้องที่มีพื้นที่มากกว่า 30 ตารางเมตร อาจต้องคำนวณเพิ่มเป็น 1,000-1,200 BTU ต่อตารางเมตร หากเลือกเครื่องที่มีขนาดเล็กเกินไปจะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองไฟ เพราะต้องทำงานต่อเนื่องเพื่อทำความเย็นให้ได้ตามที่ต้องการ ในทางกลับกัน ถ้าเลือกเครื่องที่มีขนาดใหญ่เกินไปก็จะเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น เนื่องจากระบบจะต้องเปิด-ปิดบ่อยครั้งเพื่อรักษาอุณหภูมิ นอกจากขนาดพื้นที่แล้ว ยังควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ความสูงของเพดาน จำนวนหน้าต่าง ทิศทางของห้อง จำนวนผู้ใช้งาน และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ปล่อยความร้อนในห้อง การเลือกขนาดที่เหมาะสมโดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้านจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 20-30% และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศได้อีกด้วย
ขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับพื้นที่ห้อง:
- แอร์ขนาด 9,000 BTU
- ห้องปกติ: 12-15 ตารางเมตร
- ห้องโดนแดด: 11-14 ตารางเมตร
- แอร์ขนาด 12,000 BTU
- ห้องปกติ: 16-20 ตารางเมตร
- ห้องโดนแดด: 14-18 ตารางเมตร
- แอร์ขนาด 18,000 BTU
- ห้องปกติ: 24-30 ตารางเมตร
- ห้องโดนแดด: 21-27 ตารางเมตร
- แอร์ขนาด 21,000 BTU
- ห้องปกติ: 28-35 ตารางเมตร
- ห้องโดนแดด: 25-32 ตารางเมตร
ข้อควรคำนึง:
- ควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพื่อการประหยัดพลังงานสูงสุด
7. การติดพัดลมเพดานในห้องแอร์
การติดพัดลมเพดานในห้องที่มีแอร์เป็นวิธีที่ช่วยกระจายความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้ติดพัดลมขนาด 48-56 นิ้วสำหรับห้องทั่วไป โดยติดตั้งให้มีระยะห่างจากเพดานอย่างน้อย 30 เซนติเมตรเพื่อการหมุนเวียนอากาศที่ดี การตั้งความเร็วพัดลมระดับต่ำถึงปานกลางจะช่วยให้สามารถปรับอุณหภูมิแอร์สูงขึ้นได้ 1-2 องศาโดยที่ยังรู้สึกเย็นสบาย เนื่องจากพัดลมใช้ไฟเพียง 50-80 วัตต์ต่อชั่วโมง เทียบกับแอร์ที่ใช้ 1,000-2,500 วัตต์ วิธีนี้จึงช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 15-25%
8. วิธีตั้งเวลาแอร์สำหรับการใช้งานประจำวัน
การตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์อย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานได้อย่างมาก สำหรับคนทำงานที่ต้องออกจากบ้านแต่เช้า ควรตั้งเวลาเปิดแอร์ก่อนตื่นนอน 15-20 นาที และตั้งปิดก่อนออกจากบ้าน 30 นาที เพื่อให้ความเย็นค่อยๆ ลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับตอนกลับบ้าน หากมีสมาร์ทรีโมท สามารถสั่งเปิดแอร์ก่อนถึงบ้าน 15-20 นาที หรือตั้งเวลาเปิดล่วงหน้าตามเวลากลับบ้านปกติ เพื่อให้ห้องเย็นพอดีเมื่อถึงบ้าน การตั้งเวลาที่เหมาะสมแบบนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ 5-10% ต่อวัน
9. การใช้เทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัลในห้องนอน
การติดตั้งเทอร์โมมิเตอร์ดิจิทัลในห้องนอนช่วยให้สามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำและเหมาะสมกับการพักผ่อน ควรเลือกตำแหน่งติดตั้งที่ไม่โดนลมแอร์โดยตรง ห่างจากหน้าต่างและแหล่งความร้อน และอยู่สูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งของร่างกายขณะนอน อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการนอนควรอยู่ที่ 25-26 องศา และควบคุมความชื้นให้อยู่ระหว่าง 50-60% เพื่อการนอนหลับที่มีคุณภาพ การรู้อุณหภูมิที่แท้จริงและปรับแอร์ให้เหมาะสมจะช่วยประหยัดไฟได้ 8-12% พร้อมทั้งช่วยให้นอนหลับสบายตลอดคืน
10. ล้างแอร์ตามรอบเวลาที่เหมาะสมเพื่อประหยัดไฟ
การล้างแอร์เป็นการบำรุงรักษาที่สำคัญที่สุดในการรักษาประสิทธิภาพการทำความเย็นและประหยัดพลังงาน โดยควรล้างแอร์ทั้งระบบทุก 6 เดือน หรือทุก 3-4 เดือนสำหรับบ้านที่ใช้งานหนักหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก การล้างแอร์ที่ถูกต้องต้องทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำความสะอาดทั้งชุดแอร์ภายในบ้านและชุดระบายความร้อนภายนอก รวมถึงตรวจเช็คระบบต่างๆ เช่น คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์พัดลม และระดับน้ำยาแอร์ ในระหว่างรอรอบล้างแอร์ ควรดูแลรักษาเบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุกเดือนและเช็ดทำความสะอาดหน้ากากแอร์เป็นประจำ นอกจากนี้ควรสังเกตความผิดปกติ เช่น เสียงดัง ความเย็นลดลง หรือมีน้ำหยด หากพบต้องรีบแจ้งช่างมาตรวจสอบทันที การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอนี้จะช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 15-20% และยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ (บทความแนะนำ : วิธีล้างแอร์ด้วยตัวเอง)
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้แอร์อย่างประหยัดไฟ (FAQ)
Q: เปิดแอร์กี่องศาประหยัดไฟมากที่สุด?
A: ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานแนะนำให้ตั้งอุณหภูมิระหว่าง 25-27 องศาเซลเซียส เพราะ:
- เป็นอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์รู้สึกสบาย
- คอมเพรสเซอร์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
- ประหยัดพลังงานได้ 5-10% ต่อองศาที่เพิ่มขึ้นจาก 24 องศา
- ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายของเครื่องปรับอากาศ
Q: เปิดแอร์ 25 องศากินไฟเท่าไร?
A: การใช้พลังงานที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสแบ่งตามขนาดเครื่อง:
- แอร์ขนาด 9,000 BTU: ใช้ไฟประมาณ 0.8-1.0 หน่วยต่อชั่วโมง
- แอร์ขนาด 12,000 BTU: ใช้ไฟประมาณ 1.1-1.3 หน่วยต่อชั่วโมง
- แอร์ขนาด 18,000 BTU: ใช้ไฟประมาณ 1.6-1.8 หน่วยต่อชั่วโมง
Q: เปิดแอร์ 27 องศาค่าไฟเท่าไร?
A: การตั้งอุณหภูมิที่ 27 องศาประหยัดไฟได้มากกว่า 25 องศา 10-15%:
- แอร์ขนาด 9,000 BTU: ใช้ไฟประมาณ 0.7-0.9 หน่วยต่อชั่วโมง
- แอร์ขนาด 12,000 BTU: ใช้ไฟประมาณ 0.9-1.1 หน่วยต่อชั่วโมง
- แอร์ขนาด 18,000 BTU: ใช้ไฟประมาณ 1.4-1.6 หน่วยต่อชั่วโมง
Q: การเปิดปิดแอร์บ่อยๆ เปลืองไฟจริงหรือไม่?
A: จริง เพราะ:
- การสตาร์ทเครื่องใหม่ทุกครั้งใช้พลังงานมากกว่าการทำงานต่อเนื่อง
- คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักในช่วงเริ่มต้น
- อาจทำให้อายุการใช้งานของเครื่องสั้นลง
- สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าการเปิดทิ้งไว้ที่อุณหภูมิเหมาะสม
Q: แอร์โหมด Cool คืออะไร?
A: โหมด Cool เป็นโหมดทำความเย็นมาตรฐานของเครื่องปรับอากาศ:
- ทำงานด้วยการลดทั้งอุณหภูมิและความชื้น
- คอมเพรสเซอร์ทำงานต่อเนื่องเพื่อรักษาอุณหภูมิตามที่ตั้งไว้
- เหมาะสำหรับวันที่อากาศร้อนและต้องการความเย็นชัดเจน
- ใช้พลังงานมากกว่าโหมดอื่นๆ
Q: แอร์โหมด Dry คืออะไร?
A: โหมด Dry เน้นการลดความชื้นในอากาศ:
- ลดความชื้นโดยไม่เน้นลดอุณหภูมิมากนัก
- คอมเพรสเซอร์ทำงานเป็นช่วงๆ
- ประหยัดไฟกว่าโหมด Cool 20-30%
- เหมาะกับวันที่อากาศชื้นแต่ไม่ร้อนมาก
Q: แอร์โหมด Auto คืออะไร?
A: โหมด Auto เป็นระบบอัตโนมัติที่ปรับการทำงานตามสภาพแวดล้อม:
- เครื่องจะเลือกโหมดที่เหมาะสมเองโดยอัตโนมัติ
- สลับระหว่างโหมด Cool และ Dry ตามความชื้นและอุณหภูมิในห้อง
- ปรับความเร็วพัดลมอัตโนมัติ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการปรับตั้งค่าบ่อยๆ
Q: แต่ละโหมดต่างกันอย่างไร?
A: ความแตกต่างหลักของแต่ละโหมด:
- Cool
- เน้นลดอุณหภูมิ
- ใช้พลังงานมากที่สุด
- ให้ความเย็นเร็วและแรง
- Dry
- เน้นลดความชื้น
- ประหยัดพลังงาน
- ทำความเย็นน้อยกว่า Cool
- Auto
- ผสมผสานการทำงาน
- พลังงานขึ้นกับสภาพแวดล้อม
- สะดวกในการใช้งาน
Q: เปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟ ?
A: การเลือกโหมดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์:
- วันที่อากาศร้อนจัด: ใช้โหมด Cool
- วันที่อากาศชื้น: ใช้โหมด Dry
- ต้องการประหยัดไฟ: ใช้โหมด Dry หรือ Auto
- ใช้งานทั่วไป: โหมด Auto จะช่วยปรับสมดุลระหว่างความเย็นและการประหยัดพลังงาน
Q: ควรเปิดแอร์กี่ชั่วโมงต่อวัน?
A: ระยะเวลาการเปิดแอร์ที่เหมาะสม:
- การเปิดต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมงเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุด
- ไม่ควรเปิดนานเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน
- ควรพักเครื่อง 30 นาทีทุก 8 ชั่วโมง
- หากต้องเปิดนาน ควรใช้ Timer หรือ Sleep Mode
- เปิดพัดลมระบายอากาศเป็นระยะเพื่อให้อากาศหมุนเวียน
สรุป: วิธีเปิดแอร์โหมดไหนประหยัดไฟที่สุด
การใช้เครื่องปรับอากาศอย่างชาญฉลาดจะช่วยประหยัดค่าไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสรุปแนวทางหลักดังนี้:
- ตั้งอุณหภูมิที่ 25-27 องศาเซลเซียส
- หลีกเลี่ยงการเปิดปิดบ่อยเกินไป
- ใช้ฟังก์ชันประหยัดพลังงาน
- บำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจสอบและปรับปรุงสภาพแวดล้อมของห้อง
ที่มาข้อมูล:
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
Liger นักเขียนผู้หลงใหลในการแสวงหาความรู้และแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ผู้อื่น ด้วยความรักและสนในการเรียนรู้ค้นคว้าหาสิ่งใหม่เพื่อที่จะเผยแพร่ความรู้ ข้อมูล สาระดีคุณค่า นำมาถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าติดตาม หวังว่าสิ่งที่ผมถ่ายทอดจะเป็นประโยชน์และสร้างคุณค่าให้กับผู้อ่านทุกคน ทำให้สังคมแห่งการเรียนรู้เติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน